ผนังกันไฟ หรือ ผนังทนไฟ สำหรับงานก่อสร้างถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่ง เพราะเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจากเพลิงไหม้ ผนังกันไฟนี้จะเป็นตัวช่วยชะลอและป้องกันการแพร่กระจายของไฟได้ดี ดังนั้นการสร้างโรงงาน หรือ อาคารทุกประเภท จึงจำเป็นต้องมีผนังกันไฟบริเวณบันไดหนีไฟและตามจุดสำคัญต่างๆ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดไว้เพื่อความปลอดภัย
ถ้าหากคุณกำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับผนังกันไฟ ในวันนี้ทาง V.K.B ได้รวบรวมข้อมูลมาไว้ในบทความนี้แล้ว รับรองว่ารายละเอียดต่างๆ จะเป็นตัวช่วยให้คุณเลือกใช้ผนังกันไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพแน่นอน
ผนังกันไฟ คืออะไร?
ความหมายของคำว่า ผนังกันไฟ คือ โครงสร้างที่ใช้สำหรับสิ่งปลูกสร้างจำพวกโรงงานอุตสาหกรรม หรือ ตามบันไดหนีไฟในอาคารต่างๆ ผนังกันไฟถูกออกแบบมาเพื่อชะลอการแพร่กระจายของความร้อนที่เกิดขึ้นจากเปลวไฟในกรณีฉุกเฉิน หากผนังกันไฟที่ใช้ได้มาตรฐานก็จะทำให้ผู้อยู่อาศัยมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
โดยส่วนประกอบหลักๆ ของผนังกันไฟ คือ อิฐที่มีความหนาไม่น้อยกว่า 18 เซนติเมตร และไม่มีรูหรือช่องที่ทำให้ควันไฟสามารถลอดผ่านได้ โดยวัสดุที่สามารถใช้ได้นอกเหนือจากอิฐแล้ว ยังมีผนังทึบแสงที่ทำจากวัสดุทนความร้อน ซึ่งมีคุณสมบัติในการป้องกันไฟได้ดีเท่ากับผนังที่ก่อด้วยอิฐธรรมดา ถ้าหากเป็นผนังคอนกรีตเสริมเหล็ก ต้องมีความหนาไม่น้อยกว่า 12 เซนติเมตร และมีอัตราทนไฟได้ไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง 30 นาที
รู้หรือไม่!? การใช้ผนังกันไฟมีการบังคับใช้ตามกฎหมายด้วย! ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 55 (พ.ศ.2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ระบุว่า
“ผนังของตึกแถว หรือ บ้านแถว ไม่ว่าจะสูงกี่ชั้นก็ตาม ต้องทำด้วยวัสดุทนไฟ หมายความว่า ต้องก่อด้วยอิฐธรรมดาหรือคอนกรีตเสริมเหล็กหนาไม่น้อยกว่า 8 เซนติเมตร นอกจากนั้นทุกๆ 5 คูหาของตึกแถวหรือบ้านแถวจะต้องเป็นผนังกันไฟ ต่อเนื่องจากระดับพื้นดินถึงระดับดาดฟ้า กรณีที่เป็นหลังคา ที่สร้างด้วยวัสดุไม่กันไฟ ต้องมีผนังกันไฟสูงเหนือหลังคาไม่น้อยกว่า 30 เซนติเมตร”
ดังนั้นสิ่งปลูกสร้างที่อยู่อาศัย หรือ อาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ก็จำเป็นต้องมีผนังกันไฟตามกฎหมายเพื่อความถูกต้อง และ ความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยเช่นเดียวกัน
ทำไมถึงต้องมีผนังกันไฟ?
ความสำคัญของผนังกันไฟสำหรับสิ่งปลูกสร้างเชิงพาณิชย์ หรืออาคารที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมี เนื่องจากอุบัติเหตุเพลิงไหม้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และ อาคารเหล่านี้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่สามารถเกิดเหตุได้ง่ายที่สุด เพราะในอาคารอาจมีวัสดุไวไฟที่อาจทำให้เชื้อเพลิงสามารถลุกลามอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นผนังกันไฟจึงถือเป็นโครงสร้างสำคัญที่ต้องมีในสิ่งปลูกสร้าง เพื่อชะลอการแพร่กระจายของเพลิงไฟ และช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อทรัพย์สิน การเลือกใช้ผนังกันไฟควรเลือกจากระดับความหนา ยิ่งมีความหนามากเท่าไหร่ก็ยิ่งสามารถช่วยป้องกันการแพร่กระจายได้ดี
โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรม ห้องคลีนรูม รวมถึงพื้นที่ส่วนต่างๆ ของอาคาร ในพื้นที่ลักษณะนี้มักจะนิยมใช้ฉนวนกันไฟที่เรียกว่า “PIR (Polyisocyanurate foam)” ซึ่งมีคุณสมบัติที่เด่นชัดกว่าฉนวนกันไฟประเภทอื่น คือ มีน้ำหนักเบา สามารถทนความร้อนและไม่ติดไฟ โดยสามารถทนความร้อนได้สูงถึง 400 องศา ที่สำคัญโฟมชนิดนี้ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เพราะเมื่อเกิดการเผาไหม้ฉนวนชนิดนี้จะเกิดเป็นผิวดำเกรียม ช่วยป้องกันไม่ให้ก๊าซออกซิเจนสัมผัสเนื้อโฟมที่อยู่ด้านใน จึงทำให้เกิดควันไฟได้น้อยกว่าฉนวนประเภทอื่นๆ
วัสดุที่กันไฟและเป็นฉนวนกันความร้อน มีกี่แบบ แบบไหนใช้เป็นผนังกันไฟ?
เมื่อพูดถึงความสำคัญของผนังกันไฟกันไปแล้ว จะเห็นได้ว่ามีความสำคัญอย่างมากสำหรับสิ่งปลูกสร้าง ในหัวข้อนี้ทาง V.K.B จะพาทุกคนไปรู้จักประเภทของวัสดุที่ใช้กันไฟ และ เป็นฉนวนกันความร้อนที่นอกเหนือจากผนังก่ออิฐแบบทั่วไป แล้ววัสดุประเภทไหนจะทนความร้อนได้ดีที่สุด? ตามไปดูกันเลย!
1. ฉนวนอลูมิเนียมฟอยล์ (Aluminium Foil) ฉนวนอลูมิเนียมฟอยล์ เป็นวัสดุที่มีลักษณะเป็นแผ่น มีพื้นผิวเรียบ และมีความเหนียว จึงทำให้คงทนไม่ฉีกขาดง่าย มีค่าแผ่รังสีความร้อนของผิวอลูมิเนียมต่ำ และมีคุณสมบัติในการสะท้อนความร้อนได้ดี ซึ่งหากเลือกใช้วัสดุอลูมิเนียมฟอยล์บริสุทธิ์ทั้ง 2 ด้าน จะสามารถสะท้อนความร้อนได้สูงถึง 95-97%
ถึงแม้ว่าฉนวนอลูมิเนียมฟอยล์จะสะท้อนความร้อน แต่ไม่ได้ช่วยป้องกันความร้อนที่เข้าสู่ภายในบ้าน ดังนั้นฉนวนชนิดนี้จึงมักจะถูกติดตั้งบริเวณของโครงหลังคา และควรใช้งานร่วมกับฉนวนประเภทอื่นๆ เพื่อเสริมคุณสมบัติกันความร้อน ในปัจจุบันมีฉนวนให้เลือกใช้งานหลายรูปแบบ แต่สำหรับบ้านพักอาศัยมักจะนิยมใช้ฉนวนกันความร้อนสำเร็จรูปแบบแผ่นหรือแบบม้วน
ข้อดี คือ
- มีค่าการแผ่รังสีความร้อน (Emissivity) ของผิวอลูมิเนียมต่ำ
- ประสิทธิภาพในการสะท้อนความร้อนสูงสุด 97%
- มีค่าความเหนียว จึงทำให้แข็งแรง คงทน
- เป็นฉนวนกันความร้อนที่ไม่มีสารระคายเคืองต่อมนุษย์
- ทนทานต่อความชื้นได้ดี
- ราคาประหยัด หาซื้อง่าย
ข้อเสีย คือ
- ขาดคุณสมบัติในการป้องกันเสียง
- ไม่สามารถป้องกันความร้อนเข้าสู่ตัวบ้านได้
2. ฉนวนใยเซลลูโลส (Cellulose) ฉนวนป้องกันความร้อนใยเซลลูโลส เป็นวัสดุจากกระบวนการรีไซเคิลผสมเคมี ด้วยการนำเยื่อไม้หรือเยื่อกระดาษที่ใช้แล้วมาย่อยจนละเอียด และประสานเข้ากับบอแร็กซ์ เพื่อช่วยให้เกิดการยึดติด ซึ่งวัสดุชนิดนี้มีให้เลือก 3 รูปแบบ ได้แก่ ลักษณะแบบเส้นใยอัดเป็นแผ่น แบบคลุม และแบบฉีดพ่น
ในปัจจุบันบางยี่ห้อมีการประยุกต์ให้สามารถป้องกันการลุกลามของไฟได้ หรือเมื่อโดนไฟไหม้จะมีควันและดับลงไปเอง ด้วยการใส่สารเคมีที่ช่วยป้องกันการลามของไฟลงไปในเยื่อกระดาษ แต่ในกรณีนี้ต้องผ่านการผสมด้วยองค์ประกอบที่ถูกต้องเท่านั้น ซึ่งลักษณะของฉนวนใยเซลลูโลสแบบแผ่นจะถูกติดบนแผ่นยิปซัม เพื่อความสะดวกต่อการนำไปใช้งาน โดยทั่วไปแล้วฉนวนใยเซลลูโลสจะถูกนำมาประยุกต์ใช้งานผนังห้อง ผนังของอาคาร รวมถึงใต้หลังคาของอาคาร เป็นต้น
ข้อดี คือ
- มีคุณสมบัติกันความร้อนได้ดี
- สามารถลดการก้องหรือสะท้อนของเสียงได้
- เป็นฉนวนกันความร้อนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (รีไซเคิล)
- ไม่เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง
ข้อเสีย คือ
- มีโอกาสยุบตัว เพราะเป็นฉนวนรูปแบบพ่น การควบคุมความหนาแน่นอาจไม่ได้ตามมาตรฐาน
- ไม่ทนต่อน้ำและความชื้นในอากาศ
- มีโอกาสหลุดล่อนได้
- เป็นเส้นใยธรรมชาติ สามารถติดไฟได้
3. ฉนวนโพลียูริเทน (Polyurethane) วัสดุกันไฟโพลียูริเทน หรือ PU Foam เป็นเทคโนโลยีการฉีดโฟมเพื่อป้องกันความร้อน ฉนวนชนิดนี้มีความหนาแน่น และมีเนื้อละเอียด ภายในมีช่องอากาศเป็นโพรงจำนวนมาก (Air Gap) จึงสามารถแนบไปกับแผ่นใต้หลังคาได้เป็นอย่างดี
ฉนวนโพลียูริเทนมี 2 รูปแบบ คือ แบบสำเร็จรูปที่มาพร้อมกับแผ่นหลังคา กับ แบบโฟมสำหรับฉีดพ่น มีคุณสมบัติในการป้องกันความร้อนดีที่สุด หากเทียบกับฉนวนประเภทอื่นๆ และเหมาะสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมที่มีปัญหาเรื่องระบายความร้อน ถ้าหากต้องการสร้างผนังกันไฟด้วยฉนวนโพลียูริเทน มีผนังสำเร็จรูปที่ทำจากฉนวนชนิดนี้ คือ แผ่นฉนวน Sandwich Panel PU Foam หรือที่เรียกว่า แผ่นผนังสำเร็จรูปโฟมเหลือง
ข้อดี คือ
- ป้องกันความร้อนได้ดีที่สุด หากเทียบกับฉนวนประเภทอื่นๆ
- ป้องกันการรั่วซึมความชื้น และป้องกันสนิมได้เป็นอย่างดี
- มีเนื้อที่ละเอียด สามารถแนบไปกับแผ่นใต้หลังคาได้เป็นอย่างดี
- มีคุณสมบัติในการป้องกันเสียงรบกวน รองรับน้ำหนักได้ดี
- สามารถหุ้มผนังห้องเย็นได้ทุกด้าน
- ใช้ได้กับหลังคาทุกประเภท เช่น กระเบื้อง สังกะสี อลูมิเนียม คอนกรีต และ เหล็ก
- ฉนวนโพลียูริเทนแบบโฟมสำหรับฉีดพ่น สามารถนำไปฉีดพ่นไว้บริเวณใต้หลังคาเก่าได้
ข้อเสีย คือ
- หากเกิดเหตุไฟไหม้สามารถติดไฟได้ แต่ไม่เกิดการลุกลามของไฟ
- เมื่อไฟไหม้มีโอกาสเกิดควันพิษ สามารถเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
- หากโดนอุณหภูมิร้อนจัดอาจทำให้เปลี่ยนสภาพ
- หากช่างที่ฉีดพ่นขาดความชำนาญ ฉนวนสามารถฟุ้งกระจายได้
4. ฉนวนแคลเซียมซิลิเกต (Calcium Silicate) ฉนวนชนิดนี้มีลักษณะเป็นผงอัดเป็นแผ่นสำเร็จ วัสดุด้านในประกอบไปด้วย ทราย ซิลิเซียส น้ำปูนขาว และเส้นใยเพื่อเพิ่มการเสริมแรง ไม่มีส่วนผสมของใยหิน (Asbestos) จึงไม่ทำให้เกิดสารพิษ
ฉนวนแคลเซียมซิลิเกตมีทั้งแบบเป็นใยแร่ และ เส้นใยสังเคราะห์ มีความสามารถในการปรับค่าอุณหภูมิได้อย่างรวดเร็วตามสภาพอากาศ และมีคุณสมบัติในการต้านทานความร้อน และทนไฟ สามารถทาสีทับได้ ลักษณะของฉนวนแคลเซียมซิลิเกตมีทั้งรูปแบบ บล็อก ท่อ และแผ่น หากต้องการนำมาใช้งานสำหรับการติดตั้งเป็นผนัง สามารถเลือกแผ่นสำเร็จรูปแคลเซียมซิลิเกตบอร์ด โดยส่วนใหญ่นิยมนำไปใช้ในกระบวนการทางอุตสาหกรรม
ข้อดี คือ
- มีคุณสมบัติต้านทานความร้อน และทนไฟ
- ไม่มีส่วนผสมของใยหิน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- สามารถดูดซับเสียงได้ดี
- มีความหนาแน่นสูง รับแรงกระแทกได้ดี
- สามารถตัดต่อ และทาสีทับได้
ข้อเสีย คือ
- มีการดูดซึมน้ำสูง
- ไอน้ำสามารถแทรกซึมได้ง่าย
- มีน้ำหนักมาก
5. ฉนวนใยแก้ว (Microfiber) ฉนวนใยแก้วทํามาจากวัสดุที่เป็นแก้ว หรือ เศษแก้ว แล้วนํามาหลอมเป็นเป็นเส้นใยไฟเบอร์ละเอียดขนาดเล็ก มีโครงสร้างเป็นรูพรุน จึงสามารถช่วยระบายความร้อนที่ผ่านเข้าสู่ตัวอาคารได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ความสามารถของตัวแผ่นฟอยล์ด้านล่าง ยังช่วยกั้นไม่ให้ความร้อนด้านในฉนวนออกมาสู่ภายนอก หากต้องการใช้งานฉนวนใยแก้วแบบผนังจะอยู่ในรูปแบบของผนังสำเร็จรูปไมโครไฟเบอร์ มีคุณสมบัติป้องกันเสียงรบกวน มีน้ำหนักเบา และทนทานต่อแรงดึงได้ดี เมื่อถูกกดทับสามารถคืนตัวได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญสามารถป้องกันความชื้น ไม่ลามไฟ และหากนำมาใช้งานจะช่วยเพิ่มความสว่างให้กับตัวอาคารได้
ข้อดี
- มีคุณสมบัติการนำความร้อนต่ำ จึงช่วยลดปริมาณความร้อนที่จะผ่านเข้าสู่ตัวอาคาร
- สามารถดูดซับเสียงได้ดี
- มีความยืดหยุ่นสูง เมื่อถูกกดทับจะสามารถคืนตัวได้เร็ว
- มีน้ำหนักเบา ทนทาน ไม่เสื่อมสภาพ
- ป้องกันแมลง หรือเชื้อราได้ดี
ข้อเสีย
- ไม่มีคุณสมบัติกันลามไฟ
- เส้นใยก่อให้เกิดการระคายเคือง
- ไม่เหมาะกับการใช้งานในที่เปิดโล่ง
- เมื่อวัสดุเสื่อมสภาพ มีโอกาสเกิดละอองขนาดเล็ก เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
- ตัวเชื่อมประสาน (binder) สามารถติดไฟ และอาจลุกไหม้ได้
- อัตราการแทรกซึมของไอน้ำสูง จึงควรมีวัสดุหุ้มกันไอน้ำ
หลังจากที่ได้ทำความรู้จักประเภท และ คุณสมบัติของผนังกันไฟกันไปแล้ว ทำให้เห็นว่ามีความจำเป็นอย่างมากสำหรับอาคารทุกประเภท ปัจจุบันมีฉนวนกันไฟ หรือ ฉนวนทนความร้อนถูกผลิตอยู่ในรูปแบบของผนังสำเร็จรูป ทางเลือกใหม่ของวงการก่อสร้าง โดยส่วนใหญ่จะใช้สำหรับติดตั้งผนังห้องเย็น ห้องสะอาด ห้องไลน์ผลิต และ ห้องเก็บสินค้าในอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงที่อยู่อาศัย และ ตึกแถว
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยภายในอาคาร ควรเลือกที่เหมาะสมตามการใช้งาน เพื่อความคุ้มค่าต่อการลงทุน และประสิทธิภาพในระยะยาว
มองหาผู้รับเหมาก่อสร้างคุณภาพดี เลือก V.K.B
ผนังกันไฟเป็นโครงสร้างสำคัญที่ช่วยเสริมความปลอดภัยให้กับคุณได้ และถ้าหากใครต้องการตัวเลือกที่ดี แนะนำว่าต้องเลือกผู้รับเหมาที่ช่วยให้คำปรึกษา และ วางแผน เกี่ยวกับงานก่อสร้างของคุณให้ออกมามีประสิทธิภาพ อย่าง V.K.B contracting
บริษัทรับเหมาก่อสร้างที่พร้อมให้คำปรึกษา และช่วยเหลือปัญหาด้านการก่อสร้างทุกรูปแบบ ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์มายาวนานกว่า 30 ปี ทำให้คุณมั่นใจได้เลยว่าทุกบริการจะตอบโจทย์ความต้องการ และ มีคุณภาพอย่างแน่นอน
- งานก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้างด้วยทีมงาน บุคลากร และ Outsourch คุณภาพที่พร้อมบริการอย่างเต็มที่
- งานออกแบบ มีผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์ รวมทั้งนักออกแบบรุ่นใหม่ ที่พร้อมออกแบบเพื่อให้ตอบโจทย์ตามสไตล์ของคุณ
- ให้คำปรึกษา และ บริหารโครงการ นอกจากการก่อสร้างแล้ว เรายังให้คำแนะนำ ปรึกษา และ ช่วยเหลือปัญหาที่เกิดจากการก่อสร้างทุกรูปแบบ
สามารถสอบถาม V.K.B และ ดูข้อมูลเพิ่มเติมช่องทางอื่นๆ
Facebook : VKB Contracting
Line : @vkbth
Tel : 081-735-6625 , 097-445-4146 , 02-377-6591 , 02-735-1636 , 02-735-1637
Email : vkb.cont@gmail.com