ฐานราก คือ มีความสำคัญอย่างไร เรามีคำตอบ !!

ฐานราก คือ มีความสำคัญอย่างไร เรามีคำตอบ !!

ทำอย่างไรให้บ้านมีความแข็งแรง? หลายคนเลือกที่จะโฟกัสไปที่วัสดุในการก่อสร้างมากกว่า เช่น ผนังที่คงทน หลังคาที่ต้องแข็งแรง จนอาจจะละเลยเรื่องของโครงสร้างบ้านไป โดยเฉพาะโครงสร้างใต้ดินที่ใช้ในการทำให้ตัวบ้านของเรามีความแข็งแรง ทนทาน วันนี้ VKB จะพาคุณมารู้จักกับ ฐานราก หนึ่งในโครงสร้างสำคัญที่ขาดไม่ได้ถ้าหากจะสร้างบ้าน รู้หรือไม่ว่าฐานรากมีความสำคัญไม่น้อยกว่าส่วนอื่นๆ เลย แต่น้อยคนนักที่จะสนใจ เพราะว่าเป็นส่วนที่อยู่ใต้ดิน เมื่อสร้างบ้านเสร็จเราก็จะไม่เห็นส่วนของฐานโผล่ออกมา จึงทำให้บางคนอาจจะยังไม่รู้ เคยได้ยินคำที่บอกว่า “ความแข็งแรงต้องเริ่มจากฐาน” กันไหม? ถ้าฐานไม่มีความแข็งแรง ตัวบ้านย่อมไม่แข็งแรงเช่นเดียวกัน เพื่อป้องกันให้บ้านของเราแข็งแรง และ อยู่กับเราไปได้ยาวนาน มาทำความรู้จักเจ้าสิ่งนี้กันดีกว่า คนอยากมีบ้านไม่ควรพลาด ไปอ่านบทความกันเลย!!!

มาทำความรู้จัก ฐานราก กันดีกว่า ?

ฐานราก” เป็นโครงสร้างชั้นล่างสุดที่อยู่ใต้ดิน เป็นส่วนที่เรามักจะมองไม่เห็นเมื่อบ้านถูกสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถูกใช้ในการรับน้ำหนักทั้งหมดของตัวบ้านที่จะถูกถ่ายเทลงสู่พื้นดิน มีหน้าที่ในการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดการพังทลาย หรือ เคลื่อนตัวของดินใต้ฐานบ้าน จนทำให้บ้านเกิดความเสียหาย ก็เหมือนที่เราบอกไว้ว่าความแข็งแรงของบ้านจะต้องเริ่มจากฐานที่ดีนั่นเอง ถ้าฐานมีความแข็งแรงบ้านย่อยจะแข็งแรงด้วย ฐานรากจะมีลักษณะของฐานทั้งแบบที่เป็น

  • ฐานตื้น (Shallow Foundation) เป็นฐานที่จะวางบนพื้นดินโดยตรง ไม่มีการตอกเสาเข็ม โดยจะวางฐานรากอยู่บนดินชั้นบน เป็นฐานรากที่เหมาะกับดินที่มีความแข็งแรง และ สามารถรับน้ำหนักได้มาก
  • ฐานลึก (Deep Foundation) จะเป็นฐานที่จะทำการตอกเสาเข็มด้วย เพื่อให้รับน้ำหนักได้มากขึ้นโดยจะใช้เสาเข็มเป็นตัวถ่ายน้ำหนัก จะวางฐานรากแบบนี้บนดินที่อ่อน เพื่อให้ง่ายต่อการลงเสาเข็ม และ ก็สามารถเลือกขนาด ความยาวของเสาเข็มให้เหมาะสมได้

นอกจากนั้นในส่วนของประเภทฐานรากก็มีรูปแบบให้เลือกที่หลากหลาย ซึ่งการเลือกใช้ในแต่ละรูปแบบขึ้นอยู่กับตามเหมาะสมด้านสภาพพื้นดินหน้างาน ซึ่งฐานรากจะมีด้วยกัน 2 ประเภทหลักๆ  ได้แก่

1.ฐานรากแบบแผ่ (Shallow Foundation)

ฐานราก

ฐานรากรูปแบบนี้เป็นฐานรากแบบตื้น ที่จะวางบนพื้นดินตรงๆ โดยไม่มีการลงเสาเข็ม เป็นฐานรากที่ช่วยในการกระจายน้ำหนักได้ดี สามารถกระจายน้ำหนักลงสู่พื้นดินได้โดยตรง แต่จะต้องมีการคำนวณน้ำหนัก และ ดินบริเวณนั้นให้ดีก่อนจะใช้ฐานรูปแบบนี้ โดยดินที่จะวางฐานรากควรจะมีหน้าดินที่แข็ง และ มีความหนาพอสมควร จึงจะสามารถรับน้ำหนักของฐานแบบนี้ได้ ฐานรากแบบแผ่สามารถแบ่งเป็นประเภทย่อยๆ ได้ 3 ประเภทดังต่อไปนี้

  1. แผ่เดี่ยว (Spread Footing) เป็นฐานรากที่จะรับน้ำหนักจากเสาบ้าน และ เสาอาคารเพียงแค่ต้นเดียว มีลักษณะฐานเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยฐานจะต้องมีความหนาพอประมาณ เพื่อใช้ในการป้องการกัดกร่อนที่จะเกิดขึ้นกับเสาคอนกรีตเสริมเหล็ก การวางเสาบนฐานแผ่เดี่ยวมักจะวางเสาไว้ตรงกลาง เพื่อกระจายน้ำหนัก
  2. แผ่ร่วม (Combined Footing) ในกรณีที่ต้องการฐานในการรองรับเสามากกว่า 1 ต้นที่อยู่ใกล้ๆ กัน ฐานแบบแผ่ร่วมทำมาเพื่อช่วยในการกระจายน้ำหนักของเสา และ การวางฐานให้เกิดความสมมาตรแบบที่ฐานแผ่เดี่ยวไม่สามารถทำได้
  3. แผ่ปูพรม หรือ รากแพ (Mat or Raft Foundation) เป็นฐานแบบแผ่ที่มีขนาดใหญ่ และ เป็นแผ่นเดียวกัน ฐานรูปแบบนี้มักจะต้องรับน้ำหนักของเสาจำนวนมาก เลยทำให้จะต้องอาศัยการลงเสาเข็ม เพื่อแก้ปัญหาการทรุดตัวของบ้าน และ อาคาร

2.ฐานรากแบบเสาเข็ม (Pile Footing)

ฐานรากแบบนี้เป็นฐานรากแบบลึก ทำให้จะมีการลงเสาเข็ม เพื่อช่วยในการกระจายน้ำหนักลงสู่พื้นดิน ซึ่งจะเป็นคนละรูปแบบกับแบบแผ่เลย โดยดินบริเวณนั้นควรจะเป็นดินที่ไม่หนาแน่นมากนัก เช่น เป็นดินอ่อน เพราะจะต้องลงเสาเข็มลึกลงไปในดิน โดยฐานรากรูปแบบนี้สามารถแบ่งเป็นประเภทย่อยๆ ได้ 2 ประเภทดังต่อไปนี้

  1. ฐานเข็มสั้น (Friction Pile) เป็นฐานรากที่เสาเข็มจะมีความยาวไม่มาก ประมาณ 6 – 16 เมตร ฐานประเภทนี้รับน้ำหนักได้ไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะวางบนดินอ่อน แม้จะรับน้ำหนักมากไม่ได้แต่ฐานรูปแบบนี้ก็ทำให้ง่ายต่อการใช้งาน หากเสาเข็มไม่ได้มีความยาวมากนักก็สามารถใช้แรงคนในการลงเสาได้ ( หากเป็นเสาที่มีขนาดใหญ่ และ มีความยาวมากจะต้องใช้ปั้นจั่นในการลงเสาเข็ม )
  2. ฐานเข็มยาว (Bearing Pile) หากต้องการฐานที่สามารถรับน้ำหนักได้มากๆ ควรจะเลือกใช้ฐานแบบเข็มยาว เพราะว่าจะมีการลงเสาเข็มในระดับที่ค่อนข้างลึก ส่วนใหญ่จะใช้เสาเข็มที่ยาวมากกว่า 21 เมตรขึ้นไป เพื่อที่จะได้รับน้ำหนักของบ้าน และ ตัวอาคารได้มาก ( บางที่ก็จะทำการแบ่งเสาเข็มเป็น 2 ท่อน แล้วจึงต่อเข้าด้วยกัน ซึ่งต้องระวังในส่วนข้อต่อระหว่างเข็ม 2 ต้นให้ดี หากเชื่อมติดไม่ดีอาจจะมีปัญหาตามมา )

นอกจากนั้นแล้วในการลงเสาเข็มเรายังสามารถเลือกวิธีลงเสาเข็มได้ว่าจะลง แบบตอกด้วยปั้นจั่น หรือ แบบเจาะด้วยรถเจาะ ซึ่งทั้งสองแบบก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป โดยแบบ

  • แบบตอกด้วยปั้นจั่น จะเป็นการตอกเสาเข็มลงในดิน ซึ่งจะใช้โครงเหล็ก และ รอกตุ้มเหล็ก ในการเคลื่อนย้ายเสาเข็ม วิธีนี้จะประหยัดเรื่องงบได้ดีกว่าการใช้รถเจาะ แต่ก็อาจจะไม่เหมาะกับการทำบริเวณที่มีอาคาร เพราะอาจทำให้ดินบริเวณข้างเคียงเสียหายได้
  • แบบเจาะด้วยรถเจาะ วิธีนี้จะใช้รถหัวสว่านในการเจาะเอาดินขึ้นมา จากนั้นใส่ปอกเหล็ก เหล็ก และ เสาเข็มลงไป แล้วทำการเทคอนกรีต วิธีนี้สามารถทำงานภายในอาคารบริเวณเดียวกันได้ แต่ก็อาจจะมีราคาที่สูงกว่าอีกแบบ

นอกจากฐานราก 2 ประเภทหลักๆ นี้แล้วก็จะมี ฐานรากแบบตอม่อ ที่จะเป็นฐานที่ทำด้วยคอนกรีตแบบหล่อลึก ซึ่งจะทำให้ฐานรากมีความแข็ง แต่ไม่ได้นิยมนำมาใช้กับฐานบ้านมากนัก และ ฐานรากแบบสำเร็จรูป ฐานรากที่จะทำการหล่อในพื้นที่ ทำให้ได้รูปทรงออกมาตามที่เราต้องการ แต่อาจจะใช้ระยะเวลาในการรอหลายวัน

งานประเภทไหนเหมาะกับ ฐานรากแบบไหน ?

งานประเภทไหนเหมาะกับ ฐานรากแบบไหน ?

การจะเลือกใช้ฐานรากแบบไหน จะต้องดู “คุณสมบัติของดิน” เป็นหลัก จึงจะบอกได้ว่าฐานรากแบบไหนเหมาะกับบ้านของเรา เพราะดินแต่ละพื้นที่ก็จะมีสภาพดินที่แตกต่างกัน หากเลือกฐานรากไม่เหมาะสมอาจทำให้ไม่สามารถรับน้ำหนักตัวบ้าน จนทำให้บ้านทรุดตัวลงได้

>> สามารถ ดูรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพดินได้ที่กรมโยธาธิการและผังเมือง ที่นี่ <<

  • ฐานรากแผ่เหมาะกับงานแบบไหน – เป็นฐานรากที่เหมาะกับงานที่ต้องก่อสร้างที่ที่เป็นดินแข็ง เช่น หินอัคคี หินปูน หินดินดาน กรวด และ พวกดินทราย ส่วนถ้าต้องการฐานสำหรับวางเสาทีละต้น ให้เลือกแบบแผ่เดี่ยว แต่ถ้ามีเสาหลายต้นอาจจะเลือกเป็นแบบแผ่ร่วม หรือ แผ่ปูพรม
  • ฐานรากเสาเข็มเหมาะกับงานแบบไหน – เนื่องจากฐานรากรูปแบบนี้จะทำมาเพื่อให้น้ำหนักของตัวบ้านถ่ายเทลงสู่ดินผ่านเสาเข็ม โดยสภาพดินมีลักษณะเป็นดินอ่อน เพราะเสาเข็มจะทำหน้าที่ในการทำให้บ้านสามารถทรงตัวอยู่ได้  แต่ก็ต้องดูว่าน้ำหนักของบ้านดินสามารถรับน้ำหนักได้หรือไม่ ถ้าเป็นเสาเข็มสั้นเหมาะสำหรับนำไปทำพวกโครงสร้างเล็กๆ ที่ไม่ได้รับน้ำหนักมาก เช่นฐานลานจอดรถ ฐานโรงเก็บสินค้า แต่ถ้าเป็นเสาเข็มยาว เหมาะในการนำไปทำพวกฐานที่ต้องรับน้ำหนักเยอะๆ เช่น ฐานบ้าน ฐานโรงงานต่างๆ เนื่องจากสามารถรับน้ำหนักได้ดี แต่ถ้าหากบริเวณนั้นมีอาคารใกล้เคียงแนะนำให้ใช้การลงเสาเข็มแบบเจาะจะดีกว่า เพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำให้อาคารใกล้เคียงทรุดตัว และ ยังทำให้เราสามารถเข้าไปทำงานในพื้นที่อยู่อาศัยได้

ราคาของฐานราก ?

ราคาก็จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งพื้นที่ของบ้าน โครงสร้างบ้าน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับผู้รับเหมาที่ดำเนินการด้วย นอกจากนั้น ก็จะมีค่าเสาเข็มหากทำฐานรากแบบเสาเข็ม ก็จะมีขนาดให้เลือกหลากหลาย ซึ่งราคาแต่ละขนาดก็จะแตกต่างกันออกไป ตามความสามารถในการรับน้ำหนัก

ฐานรากเป็นอีกหนึ่งส่วนที่สำคัญมากในการสร้างบ้าน สร้างอาคาร นอกจากนั้นถ้าหากเลือกฐานรากไม่เหมาะสมกับดินบริเวณนั้นๆ หรือ ไม่เหมาะกับโครงสร้างอาคารที่เราจะสร้าง ก็อาจทำให้ฐานรากไม่แข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักบ้าน และ อาคารได้ ไม่เพียงเท่านั้นการควรเลือกผู้รับเหมาที่ดีก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ เพราะหากได้ผู้รับเหมาดีก็จะทำให้ฐานรากของเรามีความแข็งแรง และ ถ้าฐานรากแข็งแรงก็จะทำให้บ้านของเราแข็งแรง อยู่กับเราไปได้ยาวนาน เลือกผู้รับเหมาที่ดีเลือก VKB บริษัทรับเหมาก่อสร้างที่พร้อมบริการให้บ้าน และ อาคารออกมาดีตรงตามมาตรฐานอาคารที่ดี

>> อ่านบทความ วิธีเลือกผู้รับเหมาอย่างไรไม่ให้ทิ้งงาน ได้ที่นี่ <<

 

อยากได้ฐานรากที่ดี เลือกสร้างกับ V.K.B

จะสร้างบ้าน สร้างอาคารให้ดี และ ปลอดภัย เลือก V.K.B contracting เพราะเราเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ให้บริการออกแบบ และ ก่อสร้าง รวมถึงให้คำแนะนำ บริหารโครงการ ที่ให้บริการมายาวนานกว่า 30 ปี ด้วยทีมที่เชี่ยวชาญ และ มีประสบการณ์ ทำให้คุณมั่นใจได้เลยว่างานที่ออกมาจะเป็นไปอย่างที่คุณต้องการ และ มีคุณภาพ

  • งานก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้างด้วยทีมงาน บุคลากร และ Outsourch คุณภาพที่พร้อมบริการอย่างเต็มที่
  • งานออกแบบ มีผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์ รวมทั้งนักออกแบบรุ่นใหม่ ที่พร้อมออกแบบเพื่อให้ตอบโจทย์ตามสไตล์ของคุณ
  • ให้คำปรึกษา และ บริหารโครงการ นอกจากการก่อสร้างแล้ว เรายังให้คำแนะนำ ปรึกษา และ ช่วยเหลือปัญหาที่เกิดจากการก่อสร้างทุกรูปแบบ

บริการอย่างเต็มที่ และ เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ

 

 

สามารถสอบถาม V.K.B และ ดูข้อมูลเพิ่มเติมช่องทางอื่นๆ

Facebook : VKB Contracting

Line : @vkbth

Tel081-735-6625 , 097-445-4146 , 02-377-6591 , 02-735-1636 , 02-735-1637

Email : vkb.cont@gmail.com

ติดต่อเรา